Más contenido relacionado
La actualidad más candente (20)
Similar a โครงการจิตอาสาพัฒนาวัดบ้านเรา (20)
โครงการจิตอาสาพัฒนาวัดบ้านเรา
- 1. โครงการ
เรื่อง จิตอาสาพัฒนาวัดบ้านเรา
จัดทําโดย
1. นายจิตติ ทุมเชียงลา เลขที่ 1
2. นางสาวไอรินทร์ นิธิภัทร์พรปัญญา เลขที่ 14
3. นางสาวปณิดา ธนกิจ เลขที่ 15
4. นางสาวลาภิศ อุทาทิย์ เลขที่ 18
5. นางสาวสุปราณี บุญมี เลขที่ 19
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
เสนอ
คุณครูทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม
รายวิชา I30903 IS3 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์กาญจนบุรี
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2558
- 2. ก
กิตติกรรมประกาศ
โครงการนี้ส่วนหนึ่งของรายวิชาIS3ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
เพื่อช่วยทาให้วัดมีความสะอาดสวยงามน่าเข้ามาทาบุญ และได้จัดทาโครงการ
ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดย ทากิจกรรมผ่านกิจกรรมจิตอาสาเพื่อให้นักเรียนมีคุณธรรม
และสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคม อยู่ได้โดยสงบสุข ทั้งนี้ ในรายงานนี้มี เนื้อหา
ประกอบด้วยการดาเนินกิจกรรมจิตอาสาในโครงการจิตอาสาพัฒนาวัดบ้านเรา
ผู้จัดทาได้เลือกหัวข้อนี้ในการทากิจกรรมจิตอาสาเนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ในการที่จะช่วยเหลือสังคม
ผู้จัดทาต้องขอขอบคุณ คุณครูทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยมผู้ให้ความรู้ และ แนวทางการศึกษา
คุณเดชชนะ สัมมาทิตฐิที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องการเดินทางไป-กลับ
ระหว่างห้วยสะพานและวัดบ้านหลุมหิน
คุณปาลีรัตน์ นิธิภัทร์พรปัญญา
ที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการทาความสะอาดบริเวณศาลาวัด
และขอขอบคุณคุณเสวย สัมมาทิตฐิที่ให้ความอนุเคราะห์ในด้านอุปกรณ์การทาความสะอาด
หวังว่ารายงานฉบับนี้ จะให้ความรู้ และ เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผู้จัดทาขอรับไว้ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
และหากมีข้อข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทาขออภัย มาณที่นี้ ด้วย
คณะผู้จัดทา
- 4. สารบัญ
เรื่อง หน้า
กิตติกรรมประกาศ.....................................................................................................................ก
บทคัดย่อ....................................................................................................................................ข
บทที่ 1 บทนา..............................................................................................................................1
หลักการและเหตุผล................................................................................................................1
การบูรณาการกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง.............................................................................1
วัตถุประสงค์ของโครงการ......................................................................................................1
สถานที่ดาเนินการ...................................................................................................................2
ขั้นตอนการดาเนินงาน............................................................................................................2
ระยะเวลาดาเนินงาน...............................................................................................................2
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ.....................................................................................................2
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง ..........................................................................................................3
จิตอาสา...................................................................................................................................3
วัด...........................................................................................................................................4
ข้อควรปฏิบัติในการไปวัดไทย...............................................................................................5
ความสาคัญของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย........................................................................5
บทที่ 3 วิธีการดาเนินงาน.........................................................................................................15
วัสดุอุปกรณ์..........................................................................................................................15
วิธีการดาเนินงาน..................................................................................................................16
- 5. บทที่ 4 ผลการดาเนินงาน..........................................................................................................19
บทที่ 5 สรุปผลและอภิปราย.....................................................................................................20
อภิปรายผลการดาเนินงาน.....................................................................................................21
ข้อเสนอแนะ.........................................................................................................................21
ภาคผนวก.................................................................................................................................22
บรรณานุกรม.............................................................................................................................ค
- 9. 3
บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
จิตอาสา หรือ จิตสาธารณะ ( public consciousness หรือ Public mind) หมายถึง
จิตสานึกเพื่อส่วนรวม เพราะคาว่า “สาธารณะ” คือสิ่งที่มิได้เป็นของผู้หนึ่งผู้ใด จิตสาธารณะ
จึงเป็นความรู้สึกถึงการ เป็นเจ้าของในสิ่งที่เป็นสาธารณะ ในสิทธิและหน้าที่ที่จะดูแล และ
บารุงรักษาร่วมกัน
จิตอาสา หรือ มีจิตสาธารณะ ยังหมายรวมถึง จิตของคน ที่รู้จักความเสียสละ
ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการ ทาประโยชน์ เพื่อส่วนรวม จะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
ช่วยกันพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นหลักการในการดาเนินชีวิต
ช่วยแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สุขแก่สังคม เช่น
การช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยการไม่ทิ้งขยะลงในแหล่งน้า
การดูแลรักษาสาธารณสมบัติ เช่น โทรศัพท์สาธารณะ
หลอดไฟฟ้าที่ให้ความสว่างตามถนนหนทาง แม้แต่การประหยัดน้าประปาหรือไฟฟ้า
ที่เป็นของส่วนรวม โดยใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าตลอดจนช่วยกันดูแลรักษา
ให้ความช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้ที่ร้องขอความช่วยเหลือเท่าที่จะทาได้
ตลอดจนร่วมมือกระทาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา หรือช่วยกันแก้ปัญหาแต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย
เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของจิตสานึกทางสังคม
หรือจิตสานึกสาธารณะว่าคือการตระหนักรู้และคานึงถึงส่วนรวมร่วมกัน
หรือการคานึงถึงผู้อื่นที่ร่วมสัมพันธ์เป็นกลุ่มเดียวกัน
สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ให้ความหมายว่า การรู้จักเอาใจใส่
เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มี
ความสานึกและยึดมั่นในระบบคุณธรรม และ จริยธรรมที่ดีงามละอายต่อสิ่งผิด
เน้นความเรียบร้อย ประหยัดและมีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
- 10. 4
สรุป จิตอาสา หรือจิตสาธารณะ หรือจิตสานึกสาธารณะ คือ จิตสานึก(Conscious)
เป็นการตระหนักรู้ตัวหรือเป็นจิตส่วนที่รู้ตัวรู้ว่าทาอะไรอยู่ที่ไหน
เป็นอย่างไรขณะที่ตื่นอยู่นั่นเอง
ส่วน คาว่าสาธารณะ ( Public ) เป็น การแสดงออกเพื่อสังคมส่วนรวม
เป็นการบริการชุมชนทาประโยชน์เพื่อสังคมถ้าเป็นสิ่งของก็ต้องใช้ประโยชน์ร่วมกัน
เมื่อนาสองคา มารวม หมายถึงการตระหนักรู้ตน ที่จะทาสิ่งใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
วัด คือคาเรียก สถานที่สาหรับประกอบกิจกรรมทางศาสนาของ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ
ในประเทศไทย , กัมพูชา และ ลาว ภายในวัดจะมี กุฏิ
ซึ่งใช้เป็นเป็นที่อาศัยของนักบวชในศาสนาพุทธซึ่งก็คือ พระสงฆ์อีกทั้งยังมีเจดีย์ พระอุโบสถ
ศาลาการเปรียญ เมรุ ซึ่งใช้สาหรับประกอบศาสนพิธีต่างๆ เช่นการเวียนเทียน การสวดมนต์
การทาสมาธิ
วัดโดยส่วนใหญ่นิยมแบ่งเขตภายในวัดออกเป็นสองส่วนคือพุทธาวาสและ สังฆาวาส
โดยส่วน พุทธาวาส จะเป็นที่ตั้ง ของสถูปเจดีย์ อุโบสถ
สถานที่ประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา และ ส่วนสังฆาวาส จะเป็นส่วนกุฎิสงฆ์
สาหรับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร จาพรรษา
และในปัจจุบันแทบทุกวัดจะเพิ่มส่วนฌาปนสถานเข้าไปด้วย
เพื่อประโยชน์ในด้านการประกอบพิธีทางศาสนาของชุมชน เช่น การฌาปนกิจศพ
โดยในอดีตส่วนนี้จะเป็นป่าช้าซึ่งอยู่ติด หรือใกล้วัดตามธรรมเนียมของแต่ละท้องถิ่น ซึ่
งส่วนใหญ่ กลุ่มฌาปนสถานในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทยจะตั้งอยู่บนพื้นที่ ๆ
เป็นป่าช้าเดิม
ปัจจุบันวัดไทยในชนบทยังคงเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน
ซึ่งต่างจากในเมืองใหญ่ที่วัดกลายเป็นเพียงสถานที่จาพรรษาของพระสงฆ์และเพื่อประกอบพิธีท
างศาสนาเท่านั้น
- 11. 5
พระอารามหลวง วัดในประเทศไทย แบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ได้แก่
พระอารามหลวงหรือ วัดหลวง
คือวัดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสร้างหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เข้าจานวนในบัญชีเป็นพระอารามหลวงและวัดราษฎร์
คือวัดที่ได้รับพระราชทานที่วิสุงคามสีมาแต่มิได้เข้าบัญชีเป็นพระอารามหลวง หรือ
วัดที่พุทธศาสนิกร่วมใจบริจาคทรัพย์และที่ดินถวายเป็นสังฆาราม
การจัดลาดับชั้นของพระอารามหลวงมีดังต่อไปนี้
1 พระอารามหลวงชั้นเอกมีสามชนิด ได้แก่ราชวรมหาวิหารราชวรวิหาร
และวรมหาวิหาร
2. พระอารามหลวงชั้นโทมีสี่ชนิด ได้แก่ราชวรมหาวิหารราชวรวิหาร วรมหาวิหาร
และวรวิหาร
3. พระอารามหลวงชั้นตรี มีสามชนิดได้แก่ราชวรวิหารวรวิหารและสามัญ
(ไม่มีสร้อยต่อท้าย)
ข้อควรปฏิบัติในการไปวัดไทย
ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยและสาหรับการเตรียมอาหารไปถวายพระภิกษุ
ต้องเป็นอาหารที่สุกแล้วหรือจาพวกผลไม้อย่าถวายอาหารที่สุก ๆ ดิบๆ
และควรระมัดระวังเนื้อสัตว์ต้องห้าม เช่น เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้อราชสีห์
เนื้องู เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อหมี ไปถวายพระภิกษุ เพราะ
เป็นเนื้อต้องห้ามสาหรับพระภิกษุ และสุดท้าย ไม่ควรนาเด็กอ่อนไปวัดด้วย
เพราะเด็กอาจจะร้องไห้สร้างความราคาญแก่ผู้อื่นได้
ความสําคัญของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย มีดังนี้
- 12. 6
1. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ชาวไทยส่วนใหญ่นับถือ
ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ร้อยละ 95
นับถือพระพุทธศาสนาสืบต่อมาจากบรรพบุรุษไทย นับตั้งแต่ไทยมีประวัติศาสตร์ชัดเจน
ชาวไทยก็นับถือพระพุทธศาสนา อยู่แล้ว หลักฐานโบราณ ได้แก่โบราณสถานที่
เป็นศาสนสถาน โบราณวัตถุ เช่น พระธรรมจักร ใบเสมา พระพุทธรูป ศิลาจารึก
เป็นต้น แสดงว่าผู้คนในดินแดนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา(ทั้งนิกายเถรวาท และมหายาน)
มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติไทยมาช้านานแล้ว
2. พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานสาคัญ ของวัฒนธรรมไทย เนื่องจากชาวไทยนับถือ
พระพุทธศาสนา มาช้านา จนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ได้หล่อหลอม ซึมซับ
ลงในวิถีไทย กลายเป็นรากฐานวิถีชีวิตของคนไทยในทุกด้าน ทั้งด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่
ภาษาขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรม ดังนี้
1) วิถีชีวิตของคนไทยคนไทยมีวิถีการดาเนินชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ได้แก่
การแสดงความเคารพการมีน้าใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความกตัญญูกตเวที
การไม่อาฆาตหรือมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ความอดทน และ การเป็นผู้มีอารมณ์แจ่มใส
รื่นเริง เป็นต้น ล้วนเป็นอิทธิพลจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
ซึ่งได้หล่อหลอมให้คนไทยมีลักษณะเฉพาะตัว
เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่นานาชาติยกย่องชื่นชม
2) ภาษาและวรรณกรรมไทยภาษาทางพระพุทธศาสนาเช่นภาษาบาลี
มีอยู่ในภาษาไทยจานวนมากวรรณกรรม ไทย หลายเรื่อง มีที่มาจากหลักธรรม
ทาง พระพุทธศาสนา เช่น ไตรภูมิกถา ในสมัยสุโขทัย กาพย์มหาชาติ
นันโทปนันทสูตรคาหลวง พระมาลัยคาหลวง ปุณโณวาทคาฉันท์ ในสมัย
อยุธยา เป็นต้น
- 13. 7
3) ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย
ประเพณีไทยที่มาจากความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามีอยู่มากมาย เช่น
การอุปสมบท ประเพณีทอดกฐิน ประเพณีแห่เทียนพรรษา ประเพณีชักพระ เป็นต้น
กล่าวได้ว่าขนบธรรมเนียมประเพณี
ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามีความผูกพันกับคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย
4) ศิลปกรรมไทย พระพุทธศาสนา เป็นบ่อเกิดของศิลปะแขนงต่างๆ วัด
เป็นแหล่งรวมศิลปกรรมไทยทางด้านสถาปัตยกรรม เช่นรูปแบบการเสร้างเจดีย์
พระปรางค์วิหาร ที่งดงามมากเช่นวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)
กรุงเทพมหานครประติมากรรม ได้แก่งานปั้นและหล่อพระพุทธรูป เช่น
พระพุทธลีลาในสมัยสุโขทัย พระพุทธชินราช วัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก
จิตรกรรม ได้แก่ ภาพวาดฝาผนังและเพดานวัดต่างๆ เช่นจิตรกรรมฝาผนัง
วัดเบญจมบพิตรกรุงเทพมหานคร
3. พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจของสังคมไทย
พระสงฆ์เป็นผู้นาทางจิตใจของประชาชน
เป็นศูนย์กลางของความเคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
ให้คนไทยประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม นอกจากนี้
วัดยังเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมของชุมชน
สร้างความสามัคคีในชุมชน
4. พระพุทธศาสนา เป็นหลักในการ พัฒนาในการพัฒนาชาติไทย
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามุ่งเน้นการพัฒนาคนให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งด้านสุขภาพกาย
สุขภาพจิตใช้คุณธรรม และสติปัญญาในการดาเนินชีวิตเพื่อพัฒนาตนเองและ
ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาชุมชนพัฒนาสังคมและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง
นอกจากนี้พระสงฆ์หลายท่านยังมีบทบาทสาคัญในการเป็นผู้นาชุมชนพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น
- 14. 8
วัดเป็นแหล่งการเรียนรู้ ของสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ชาวไทยได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนา ได้ฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนดี
เป็นกาลังสาคัญในการพัฒนาชาติไทย
5. พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในสามสถาบันหลักของชาติไทย
สถาบันหลักของชาติไทยที่คนไทยทุกคน ให้ความเคารพนับถือ ประกอบด้วยชาติ
ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญไทยได้กาหนดให้พระมหากษัตริย์ ทรงเป็น
พุทธมามกะ หมายถึง
พระประมุขของชาติไทยที่ทรงนับถือพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเ
ทศและยังเป็นอัครศาสนูปถัมภกคือทรงให้ความอุปถัมภ์ศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทย
ความสาคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นสถาบันหลักของสังคมไทย
สถาบันพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งของสังคมไทย
คนไทยต่างให้การยอมรับนับถือมาตั้งแต่โบราณกาลและมีการสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก
เมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้ามาประดิษฐานมั่นคงในสังคมไทย วัดและพระสงฆ์มี
บทบาทเกี่ยวข้องกับการดาเนินชีวิตของคนไทย วัดจึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
วัดเป็นศูนย์กลางของการอบรมสั่งสอนจริยธรรมเป็นสถาบันสาคัญทั้งในด้านการศึกษา
สังค ม และ เป็นบ่อเกิดของศิลปะ สาขาต่างๆ
ส่วนพระสงฆ์ผู้ทาหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนาก็ได้รับการยกย่องในสังคม
ในฐานะเป็นผู้ทรงคุณธรรมควรแก่การเคารพ และเชื่อฟังซึ่งสรุปได้ดังนี้
- 16. 10
ความสาคัญของวัดที่มีต่อวิถีชีวิตของคนไทย
สังคมไทย เคารพ ศรัทธาต่อพระภิกษุมาก เนื่องเพราะเชื่อว่า พระภิกษุ
นั้นเป็นผู้มีความรู้มากกว่าฆราวาสเป็นผู้ทรงศีลย่อมพูดแต่สิ่งเท็จจริงและเป็นครูบาอาจารย์
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนที่มีต่อวัดจึงผูกพันแนบแน่นกับวิถีชีวิตของ
ทุกคนนับแต่เกิดจนตายคาสั่งสอนจึงได้รับความเชื่อถืออย่างไร้ความคลางแคลงใจ
ดังนั้นพระสงฆ์จึงกลายเป็นที่พึ่งของสังคมในทุกๆเรื่องไม่ว่าในทางที่เป็นมงคลและอัปมงคล
ส่วน วัดนั้นเป็นสถานที่รับใช้บริการงานประเพณีการทาบุญต่างๆเพื่อให้เกิดกุศลบุญแก่
ฆราวาสเนื่องในวันสาคัญทางศาสนาซึ่งมีอยู่แทบตลอดทั้งปี รวมทั้งเป็น
สถานที่ให้การศึกษาแก่ชุมชนนับแต่การบวชเณรจนถึงบวชเป็นพระภิกษุ
สถานที่ให้ความสงบเยือกเย็นทางใจเช่น การแสดงพระธรรมเทศนา การฝึกปฏิบัติ
ธรรม สมาธิ
เป็นสถานที่ชุมนุมของสังคมทุกกาลวาระเช่นการประชุมกรรมการหมู่บ้าน
งานเทศกาลรื่นเริงที่มีการ ออกร้านมีมหรสพต่างๆ เป็นต้น
เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมเนื่องในการตายเช่นการตั้งศพสวดพระอภิธรรม
การเผาศพ
ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับวัง
พระมหากษัตริย์ในอุดมคติของสังคมไทย จะสมบูรณ์แบบได้นั้น
ต้องแสดงศักยภาพของพระองค์ใน ๒ ลักษณะคือความเป็นพระจักรพรรดิราช
ที่สามารถปกป้ องปวงประชาให้อยู่เย็นเป็นสุขจากศัตรู และความเป็นพระมหาธรรมราชา
หมายถึง พระราชาผู้ทรงคุณธรรม
- 17. 11
ดังนั้นพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์จึงทรงดาเนินนโยบายตามแนวความคิดดัง
กล่าวนี้มาโดยตลอด โดยการสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ วัดวาอารามต่างๆ
ก็เพื่อส่งเสริมให้ภาพลักษณ์แห่ง ความเป็น “ธรรมราชา” ของพระองค์สมบูรณ์แบบขึ้น
นอกเหนือจากการอาศัยศาสนามาช่วยในพิธีกรรมต่างๆนั่นเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านวัดและวัง
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยดังกล่าวมาทั้งหมดมีความเกี่ยวเนื่องกับสถาบันหลัก
๓ ประเภท คือบ้านวัดและ วังสถาบันทั้ง ๓
หน่วยนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันตลอดเวลาโดย “วัง”
นั้นอยู่ในสถานะของที่ประทับแห่งกษัตริย์ หรือผู้นาของสังคมและประเทศชาติ
วังจึงเป็นเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์แห่งศูนย์รวมในทางอาณาจักร ในขณะที่ “บ้าน”
เป็นที่พักอาศัยของเหล่าทวยราษฎรเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐาน สาหรับ “วัด”
อันเป็นที่ตั้งของพุทธสถานนั้นก็จะดารงอยู่ในฐานะศูนย์รวมทางจิตใจ
ที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่าง “วัง” กับ “บ้าน” หรืออีกนัยยะหนึ่งระหว่าง “กษัตริย์” กับ
“ราษฎร” เมื่อไทยรับเอาอิทธิพลความเชื่อในเรื่องของ “สมมุติเทพ”
จากขอมเข้ามาใช้ในสังคมสมัยอยุธยา ภาพลักษณ์และบทบาทแห่งกษัตริย์ของไทย
ยิ่งมีความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
จนทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับราษฎรกลับมีช่องว่างห่างกันมาก “วัด”
จึงเป็นเสมือนสายใยที่เชื่อมโยงช่องว่างดังกล่าวนั้น วัดสาคัญๆ โดยเฉพาะอย่างวัดมหาธาตุ
ถูกสถาปนาขึ้น ด้วยชนชั้นปกครองทั้งสิ้น เนื่องจาก ต้องอาศัยกาลัง
และทรัพย์วัสดุในการก่อสร้างจานวนมาก
วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นจึงวิจิตรบรรจงงดงาม
เมื่อวัดดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศูนย์รวมในทางจิตใจของชุมชน
กษัตริย์ในฐานะผู้สร้างวัด ก็ย่อมได้รับความเคารพศรัทธาและซื่อสัตย์จงรัก
ภักดีจากทวยราษฎร์ในชุมชนนั้นโดยปริยายอานาจและพลังมวลชนที่กษัตริย์พึงจะได้มา
- 20. 14
โดย “ อาราเม ” หรือ “ อาราม ” ในคาอ่านของไทยแปลว่า สวน
นอกจากนี้ในเวลาต่อมายังมีคาที่ใช้เรียกอีกอย่างว่า “วิหาระ”หรือ “วิหาร”
อย่างไรก็ตามก็ยังมีคาที่ให้ความหมายว่าวัดอยู่อีกชื่อหนึ่งคือ “ อาวาส ”
ดังชื่อเรียกสมภารผู้ครองวัดว่า “เจ้าอาวาส”ซึ่งแปลว่าผู้เป็นใหญ่ในวัดหรือชื่อเรียกวัดเช่น
เทพศิรินทราวาส ( เทพ+ศิรินทรา+ อาวาส)
โดยปกติคาว่าอาวาสไม่เป็นที่นิยมใช้กันในความหมายว่าวัด
ทั้งนี้เพราะนิยมนาไปใช้กับความหมายที่แคบกว่าคาว่าอาราม
โดยมักให้ความหมายในเชิงที่เป็นตัวเรือนที่อยู่อาศัยมากกว่า อาวาสจึง
เสมือนเป็นที่อยู่ส่วนย่อยภายในอารามที่หมายถึงพื้นที่ที่เป็นศาส สถานทั้งเขตเช่น
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร,
วัดบวรนิเวศวิหารกรุงเทพฯ พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ,วัดกัลยาณมิตร
ธนบุรี พระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรมหาวิหาร , วัดปทุมวนารามกรุงเทพฯ
พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดราชวรวิหาร,วัดอินทรวิหารวัดราษฎร์
- 22. 16
14. กล้องถ่ายรูป
วิธีการดําเนินงาน
1. จัดกลุ่มเลือกหัวข้อในการดาเนินกิจกรรม
2. ลงมติเลือกหัวข้อที่จะทาคือจิตอาสาพัฒนาวัดบ้านเรา
3. วางแผนในการดาเนินการ
4. เลือกวัดที่จะไปทากิจกรรมจิตอาสา
5. นัดหมายวันเวลาสถานที่ที่จะเจอกันและนั่งรถไปพร้อมเพรียงกัน
6. ดาเนินงานตามกาหนดการที่นัดไว้
6.1.นัดพบกันที่ บขส. เวลา 09.00น.
6.2.ขึ้นรถสาย กาญจนบุรี-สุพรรณบุรี (ฟรี เพราะเป็นญาติกับจิตติ)เวลา 10.00น.
6.3.ถึงสี่แยกห้วยสะพาน เวลา 10.20 น.
6.4.เดินเข้าไปที่วัดห้วยสะพานเพื่อเข้าห้องน้าระยะทาง 500เมตร
6.5. รอน้ามารับไปวัดบ้านหลุมหิน
- 27. 21
อภิปรายผลการดําเนินงาน
จากการดาเนินงาน ตามโครงการที่กาหนด คณะผู้จัดทา ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
เนื่องจาก วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ล้วนแต่มาจากบ้านของผู้จัดทาทั้งสิ้น และ
การเดินทางก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะได้รับความอนุเคราะห์จากคนขับรถประจาทาง
ผลจากการดาเนินกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาวัดบ้านเรา ทาให้วัดสะอาดและน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ประชาชนในระแวกวัดก็สามารถเข้ามาทาบุญตักบาตรได้อย่างสบายใจ
ซึ่งการทากิจกรรมจิตอาสาเป็นการทาบุญอย่างหนึ่งคนทาก็สุขใจที่ได้ทา
และผู้ที่เข้ามาทาบุญก็อิ่มใจ
ข้อเสนอแนะ
1. เพิ่มจานวนอาสาสมัครที่จะไปทาให้มากขึ้น
2. เพิ่มสถานที่ที่จะไปทาให้มากขึ้น
3. รับบริจาคเพื่อนาไปบารุงสถานที่