SlideShare una empresa de Scribd logo
1 de 45
Descargar para leer sin conexión
ระบบโครงร่างของร่างกาย
Skeletal system I
(Axial skeleton)
• Basic anatomy (ANA100)
• Human body I (MDS100)
Anatomy Unit, Faculty of Science
Rangsit University
วัตถุประสงค์
1. บอกความหมายของระบบโครงร่างของร่างกาย
ได้
2. บอกแหล่งที่พบของกระดูกอ่อนทั้ง 3 ชนิดได้
3. อธิบายโครงสร้างของกระดูกทั้งระดับจุลกายวิ
ภาคและมหกายวิภาคได้
4. อธิบายการสร้าง การเจริญเติบโตและการ
ซ่อมแซมของกระดูกได้
5. จำาแนกรูปร่างของกระดูกแต่ละชนิดได้
6. อธิบายความหมายของคำาศัพท์ที่ใช้เรียกส่วน
ต่างๆของกระดูกได้
7. บอกตำาแหน่งและรูปร่างของกระดูกแต่ละชิ้นได้
8. บอกชนิดของข้อต่อ รูปแบบต่างๆของการ
เคลื่อนไหว และแหล่งที่พบข้อต่อแต่ละชนิดได้
หมายถึง
ระบบที่ประกอบด้วย กระดูก
กระดูกอ่อน ข้อต่อ และ
เอ็นยึดกระดูก
ทำาหน้าที่
» เป็นโครงร่างหลักของ
ร่างกาย
» ทำาให้ร่างกายสามารถคง
รูปร่างและเคลื่อนไหวได้
» เป็นเกราะป้องกันอวัยวะ
ภายใน รวมทั้งระบบประสาท
ส่วนกลางไม่ให้ได้รับ
อันตรายจากภายนอก
ระบบโครงร่างของร่างกาย
กระดูกอ่อนแบ่งเป็น 3 ชนิด
» Hyaline cartilage
พบที่
»Trachea
» Costal cartilage
» Cartilage of nose
» Elastic cartilage
พบที่
» Pinna
» Epiglottis
» Fibrocartilage
พบที่
» Intervertebral discs
» Pubic symphysis
Chondrocyte
In lacunae
Collagen fiber
Chondrocyte
(cartilage cell)
In lacunae
Matrix
Chondrocyte
in lacunae
Elastic fiber
กระดูก (Bone)
1. Spongy (Cancellous) bone: กระดูกเนื้อโปร่ง
2. Compact bone: กระดูกเนื้อแน่น
แบ่งตามความแตกต่างของเนื้อกระดูกเป็น 2 ชนิด
Spongy bone
Compact bone
Harversian
system (osteon)
lamellae
Haversian canal
Volkmann ’s canal
Compact bone
» Harversian canal
แต่ละอันเชื่อมติดต่อ
กันทางท่อ
Volkmann ’s
canal ที่ต่อเป็นแนว
ตั้งฉากกับแกนยาว
ของกระดูก
มีเนื้อแน่น แข็ง สีขาวคล้ายงาช้าง ประกอบด้วย Harversian system (osteon)
หลายชุดเรียงชิดกัน
» Haversian system
1 ชุดประกอบด้วย
lamellae เรียงเป็น
วงกลมซ้อนกันล้อมท่อยาว
ที่อยู่ตรงกลางคือ
Haversian canal ที่นำา
หลอดเลือด หลอดนำ้าเหลือง
และเส้นประสาทมาเลี้ยง
เซลล์กระดูก
Spongy (Cancellous) bone
มีลักษณะเนื้อกระดูกโปร่ง คล้ายฟองนำ้า ประกอบด้วยแผ่นกระดูกชิ้นเล็กๆ เรียกว่า
trabeculae เรียงสานกันไปมาเป็นร่างแห ช่องระหว่าง trabeculae มีไขกระดูก
แดง
(red bone marrow) บรรจุอยู่ ทำาหน้าที่ สร้างเม็ดเลือด
กระดูกประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด
» Osteoclast: พบบริเวณผิว
กระดูก ทำาหน้าที่ย่อย
ละลายเนื้อกระดูก ทำาให้
เนื้อกระดูกบางลง และควบคุม
ปริมาณแคลเซียมในเลือด
เช่นเดียวกับ osteocyte
» Osteocyte: อยู่ในช่อง
lacunae ที่ติดต่อกันผ่านทางท่อ
ขนาดเล็กเรียกว่า canaliculi
ทำาหน้าที่บำารุงรักษาและ
ซ่อมแซมเนื้อกระดูก และช่วย
ควบคุมปริมาณแคลเซียมใน
เลือดภายใต้อิทธิพลของ PTH
(Parathyroid hormone)
» Osteoprogenitor cell: เซลล์ต้นกำาเนิดรูปร่างคล้าย fibroblast
มักพบที่ผิวใกล้เยื่อหุ้มกระดูก(Periosteum) เยื่อบุโพรงกระดูก
(endosteum) เยื่อบุภายใน Harversian และ Volkmann’s
canals (Endosteum) เมื่อถูกกระตุ้นจะเปลี่ยนเป็นเซลล์
Osteoblast» Osteoblast: พบที่ผิวของกระดูกที่กำาลังสร้างเนื้อกระดูก



canaliculi
Multinucleated giant cell
ภาพจากกล้องจุลทรรศน์ของกระดูกเนื้อแน่น (Compact bone)
HC
HC
HC = Harversian canal
HC
HC
 Intramembranous (Periosteal) ossification
พบการเกิดแบบนี้ที่กระดูกแบน (flat bone)
และที่ผิวของกระดูกยาว (long bone)
การเกิดและการเจริญเติบโตของกระดูกมี 2 วิธี
2. ต่อมามีการนำาแคลเซี่ยมจาก
เลือดมาตกผลึกทำาให้ matrix แข็ง
(calcification) ล้อมเซลล์ที่เปลี่ยน
รูปร่างเป็น osteocyte อยู่ใน
ช่องlacunae และosteoclast จะ
ตกแต่งกระดูกให้มี Spongy bone
ด้านในและ Compact bone ด้าน
นอก
1. เริ่มจาก mesenchymal cell มา
เรียงตัวชิดกันเป็นแผ่น (membrane)
และเซลล์ทั้งแผ่นเปลี่ยนรูปร่างเป็น
osteoblast สร้าง bone matrix
กระดูกแบน (flat bone)
 Intracartilagenous (Endochondral) ossification
เป็นการสร้างกระดูกโดยการแทนที่ กระดูกอ่อนแม่พิมพ์ (cartilage model) พบการ
เจริญแบบนี้ที่กระดูกยาว (long bone) โดยมี
» จุดเริ่มต้น (Primary ossification) ที่ตอนกลางกระดูก เจริญไปตามยาวทั้ง 2 ด้าน
เรียกกระดูกส่วนนี้ว่า Diaphysis
» จุดต่อไป (Secondary ossification) ที่ปลายกระดูกทั้ง 2 ด้าน เจริญแผ่เป็นรัศมีไป
บรรจบกับจุดเริ่มต้นที่ปลายกระดูกทั้งสองด้าน เรียกกระดูกส่วนนี้ว่า Epiphysis
ที่ปลายกระดูก:
1. กระดูกเด็ก ยังแทนที่
กระดูกอ่อนไม่หมด ทำาให้
เด็กยังสูงได้อีก และ
กระดูกอ่อนที่เหลือเรียก
ว่า epiphyseal plate
2. กระดูกผู้ใหญ่ การเจริญ
เป็นกระดูกหมดแล้ว พบ
เพียงรอยต่อ เรียกว่า
epiphyseal line
Proximal
epiphysis
Metaphysis
Diaphysis
Metaphysis
Distal
epiphysis
Endosteum
Compact bone
Periosteum
Medullary
cavity
Spongy bone
Epiphyseal
line
ลักษณะทางมหกายวิภาคของกระดูกยาว (long bone)
Metaphysis เป็นส่วนของ
epiphyseal plate ที่เจริญเป็นก
ระดูกในวัยเด็ก ประมาณอายุ
18-25 ปี จะกลายเป็นกระดูก
ทั้งหมด
Bone marrow
สร้างเม็ดเลือด
aspiration or needle biopsy
หน้าที่ของกระดูก
Support Movement Protection
Mineral
storage
Blood-cell
formation
การแบ่งกระดูกตามรูปร่าง (Shapes)
1. กระดูกยาว
(Long
bone)
» กระดูกต้นแขน
» กระดูกต้นขา
3. กระดูกแบน
(Flat bone)
» กระดูกหน้าอก
» กระดูกกะโหลก
2. กระดูกสั้น
(Short bone)
» กระดูกข้อมือ
» กระดูกข้อเท้า
» กระดูกสะบ้า
4. กระดูกรูป
แปลก (Irregular
bone)
» กระดูกสันหลัง
คำาศัพท์เกี่ยวกับรอยที่กระดูก
รอยนูนที่ยื่นออกจากตัวกระดูก
» Condyle: ปุ่มเรียบ ยื่นไปต่อกับ
กระดูกอื่น เช่น ที่ปลายกระดูก
Femur ต่อกับส่วนบนของกระดูก
Tibia
» Tubercle, tuberosity,
trochanter: ปุ่มยื่นเป็นที่
เกาะของเอ็นหรือกล้ามเนื้อ
» Head: ปุ่มกลม โต มีคอคอด
(neck) เช่น ส่วนปลายบน
ของกระดูก femur, Humerus
» Crest (Ridge): ส่วนยื่นที่เป็นสัน
เช่น ที่กระดูก Ilium
» Process ส่วนที่ยื่นออกมาชัดเจน
เช่น Spinous process ของกระดูกสันหลัง
» Spine ส่วนยื่นที่เป็นสันแหลม
เช่น spine ของกระดูก Ilium
Iliac crest Anterior
superior
iliac spine
แอ่งหรือรูของกระดูก
» Foramen: รูของกระดูกให้
เป็นทางผ่านของโครงสร้าง
ต่างๆ เช่น foramen
magnum
» Fossa: แอ่งของกระดูก เช่น
cranial fossa
» Groove: ร่องยาวที่ กระดูก
เช่น intertubercular
groove
» Sinus: โพรงอากาศใน
กระดูก ใช้ชื่อตามกระดูกที่
เช่น frontal sinus
» Meatus: ท่อในกระดูก เช่น
external auditory meatus
(รูหูชั้นนอก)
คำาศัพท์เกี่ยวกับรอยที่กระดูก
Foramen
magnum
Sinuses
Meatus
intertubercular
groove
Humerus
Skull
Anterior
cranial fossa
Middle
cranial fossa
Posterior
cranial fossa
Axial skeleton-กระดูกแกนกลางของลำาตัว มี 80 ชิ้น
1. กะโหลก-Skull มี 28 ชิ้น
1.1 Cranial bones (8 ชิ้น)
1.2 Facial bones (14 ชิ้น)
1.3 Ear ossicles (6 ชิ้น)
2. กระดูกโคนลิ้น-Hyoid bone มี 1 ชิ้น
3. ลำากระดูกสันหลัง-Vertebral
column มี vertebrae 26 ชิ้น (เด็กมี 33
ชิ้น)
3.1 Cervical vertebrae มี 7 ชิ้น
(C 1-7)
3.2 Thoracic vertebrae มี 12 ชิ้น
(T1-12 )
3.3 Lumbar vertebrae มี 5 ชิ้น
(L1-5)
3.4 Sacral vertebra –S มี 1 ชิ้น
(เด็กมี 5 ชิ้น)
3.5 Coccyx vertebra-Co มี 1-2 ชิ้น
(เด็กมี 4 ชิ้น)
4. กระดูกโครงอก-Thoracic cage
มี 25 ชิ้น
4.1 กระดูกซี่โครง-Rib (24 ชิ้น)
4.2 กระดูกหน้าอก-Sternum (1 ชิ้น)
กะโหลกศีรษะ (Skull) แบ่งเป็น 3 ส่วน
1. Cranial bones: ประกอบเป็นโพรงที่อยู่ของสมอง มี 8 ชิ้น
2. Facial bones: กระดูกหน้า มี 14 ชิ้น
3. Ear ossicles: เป็นกระดูกในหูชั้นกลางมี 6 ชิ้น
Frontal
bone
Frontal
SinusFrontal bone
Frontal bone (กระดูกหน้าผาก)
เป็นส่วนของกระดูกกะโหลกศีรษะที่ประกอบเป็น
» หน้าผาก
» หลังคาของเบ้าตา (roof of orbit)
» ส่วนของโพรงกะโหลกศีรษะทางด้านหน้า
» ที่เหนือเบ้าตามีโพรงอากาศ 2 ข้าง เรียกว่า frontal sinuses
มี 2 ชิ้น ประกอบเป็น
» ผนังด้านข้างและด้านบนของโพรงกะโหลกศีรษะตอนกลาง
» 2 ชิ้น ต่อกันในแนวกลางลำาตัว (Midline) ด้วย sagittal suture
» ด้านหน้า ต่อกับ frontal bone ด้วย coronal suture
Parietal bones
Frontal
bone Frontal
SinusParietal bones
Parietal bones
Temporal bones
เป็นผนังและพื้นด้านข้างของโพรงกะโหลกศีรษะ อยู่ตำ่ากว่า parietal bone
แบ่งเป็น 4 ส่วน
1. Squamous portion
เป็นแผ่นแผ่กว้างคล้ายพัด
อยู่เหนือรูหูชั้นนอก ทางด้าน
หน้ามี zygomatic
process ยื่นไปต่อกับ
zygomatic bone
2. Tympanic portion เป็น
ผนังของหูส่วนนอก ด้านล่างมี
กระดูกยื่นยาว เพรียว และแหลม
เรียกว่า styloid process
3. Mastoid portion เป็นส่วน
ที่อยู่ด้านหลัง และอยู่หลังรูหูชั้น
นอก มีปุ่มนูนมน สั้น ยื่นลงด้าน
ล่าง เรียกว่า mastoid
process
Squamous
portion
Mastoid process
Zygomatic
process
Styloid process
Frontal
bone
Parietal bone
Mastoid
portion
Tympanic
portion
Temporal bones
FRONTAL
TEMPORAL
OCCIPITAL
SPHENOID
4. Petrous portion เป็นส่วนประกอบของโพรง
กะโหลกศีรษะส่วนล่าง มีรูปทรง 3 เหลี่ยม (Prism)
แทรกอยู่ระหว่าง sphenoid bone ทางด้านหน้า กับ
occipital bone ทางด้านหลัง ภายในมี
» หูชั้นกลาง:มีกระดูกหูข้างละ 3 ชิ้น คือ
malleus, incus และ stapes
» หูชั้นใน: มีอวัยวะเกี่ยวกับการ
ได้ยิน และการทรงตัว
Occipital bone (กระดูกท้ายทอย)
อยู่ส่วนหลังของกะโหลก ประกอบเป็นผนังด้านล่างส่วนหลังของโพรงกะโหลก
ศีรษะ ด้านล่างมีรูขนาดใหญ่เรียกว่า foramen magmum เป็นทางผ่านของสมอง
ส่วน medulla oblongata ไปเชื่อมต่อกับไขสันหลัง
Occipital bone ต่อกับ parietal bone ทั้ง 2 ข้าง ด้วย lambdoid suture
Lambdoid suture
OCCIPITAL BONE
OCCIPITAL BONE
FORAMEN MAGNUM
OCCIPITAL
BONE
Sphenoid bone
Pterygoid process
Sphenoid sinus
Sphenoid bone
รูปร่างคล้ายผีเสื้อกางปีก ประกอบเป็นผนังด้า
ล่างของโพรงกะโหลก และผนังเบ้าตา
แบ่งเป็น 3 ส่วน
1. Body คือส่วนกลาง ด้านล่างเป็นผนังของ
โพรงจมูก ด้านบนเป็นแอ่ง เรียกว่า sella
turcica เป็นที่อยู่ของต่อมใต้สมอง (pituitary
gland) มี sphenoid sinus
2. Greater wing
3. Lesser wing
Greater wing
Lesser wing
Sella turcica
ภาพผนังโพรง
จมูกด้านใน
ETH
Ethmoid bone
ภาพผนังโพรง
จมูกด้านนอก
Crista galli
Cribriform plate
ETH
ส่วนประกอบของกระดูก
» ส่วนบนยื่นขึ้นไปในแนวกลาง ด้านหน้า
ของโพรงกะโหลกมี - ปุ่มกระดูก Crista galli อยู่ตรงกลาง
- แผ่นกระดูกรูพรุนชื่อ Cribriform
plate ขนาบ 2 ข้าง เป็นทางผ่านของเส้นประสาทสมองคู่
ที่ 1 (CNI) ไปรับ กลิ่นที่ผนังด้านบนของโพรงจมูก
» ส่วนล่าง เป็นผนังของโพรง
จมูกด้านนอก (concha) และด้านใน และบางส่วนของเบ้าตา
Fontanel (fontanelle)
ขม่อม (กระหม่อม)
1. Anterior fontanel คือรอยต่อระหว่าง
กระดูก frontal กับ parietal เป็นรูปสี่เหลี่ยม
ขนมเปียกปูน ปิดอายุ ~ 18 เดือน
2. Posterior fontanel คือรอยต่อ
ระหว่างกระดูก parietal กับ occipital ปิด
อายุ ~ 2-3 เดือน
ทารกแรกเกิด กะโหลกยังเจริญเป็นกระดูกไม่
หมดเหลือเป็น membrane เรียกว่า Fontanel
Facial bones
1. Nasal bone 2 ชิ้น อยู่ที่ตรง
กลางส่วนดั้งจมูก บรรจบกันทำา
มุมป้าน หรือมุมแหลม
2. Maxillae- กระดูกขากรรไกรบน
ต่อกันในแนวกลาง ประกอบเป็น
- ส่วนของเบ้าตา
- เพดานของช่องปาก
Maxilla
- มีโพรงอากาศขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายปิรามิด
เรียกว่า maxillary sinus
Maxillary sinus
Maxilla
Nasal bone
Z Z

Frontal bone
Zygomatic bones/ cheek bones (กระดูกโหนกแก้ม)
มี 2 ชิ้น ตำาแหน่งที่โหนกแก้มทางด้านซ้ายและ
ด้านขวา มีส่วนยื่นออกไป
1. ด้านในเป็นแผ่นประกอบเป็นพื้นของเบ้าตา
2. เป็นแง่ทางด้านข้างเรียกว่า temporal process
ไปต่อกับ zygomatic process
ของ temporal bone รวมเป็นแนวโค้ง
เรียกว่า zygomatic arch
Zygomatic
arch

Mandible (กระดูกขากรรไกรล่าง)
เป็นกระดูกหน้าชิ้นใหญ่และแข็งแรงที่สุด ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
» Ramus เป็นแผ่นแบน 2 ชิ้น ยื่นขึ้นข้างบน
» Body อยู่ตรงกลาง โค้งเป็นรูปเกือกม้า เชื่อมต่อ ramus 2 ด้าน มีฟันล่างอยู่
» Angle เป็นส่วนที่ ramus ต่อกับ body เป็นมุม
Frontal bone
Maxilla
Mandible
Ramus
Body
Lacrimal bones
เป็นกระดูกขนาดเล็ก แผ่น
บาง ประกอบเป็นส่วนหนึ่ง
ของผนังด้านในของเบ้าตา
» บริเวณที่กระดูกนี้เป็นแอ่ง
เรียกว่า lacrimal fossa
เป็นที่อยู่ของถุงนำ้าตา
(lacrimal sac)
» และมีท่อนำานำ้าตาต่อลงไปสู่โพรงจมูก
(nasolacrimal duct)
ภาพผนังโพรง
จมูกด้านนอก
Palatine bones
มีรูปร่างเหมือนอักษร L ส่วน
ของกระดูกคือ
» ในแนวนอนจะประกอบเป็นส่วนหลังของเพดาน
แข็ง (hard palate)
» ในแนวตั้งประกอบเป็นผนังด้านข้างของ
โพรงจมูก
Palatine
Palatine
ภาพผนังโพรงจมูกด้านนอก
Inferior nasal concha
เป็นแผ่นกระดูกที่ม้วนยื่นออกมาจากผนังด้านข้างของโพรงจมูก
(Nasal concha ) ในตำาแหน่งที่ตำ่าสุด
Nasal concha มีประโยชน์ในการเพิ่มพื้นที่ให้อากาศที่หายใจเข้าไปหมุนวน
ภายในโพรงจมูก เพื่อกำาจัดฝุ่นละอองและเชื้อโรคก่อนเข้าสู่ปอด
Inferior nasal concha
เป็นกระดูกแผ่นแบน วางตั้งฉากกับเพดานปาก (Palate) ประกอบเป็นส่วนหลังทาง
ด้านล่างของผนังกั้นโพรงจมูก (nasal septum)
Vomer bone
Vomer
ภาพผนังกั้นโพรงจมูก
Ethmoid
Vomer
กระดูกอ่อน
Palate
อยู่ใต้กระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible) ทางด้านหน้าลำาคอ รูปร่างคล้ายเกือกม้า
(Horseshoe-shaped) เป็นกระดูกชิ้นเดียวที่ไม่ต่อกับกระดูกชิ้นอื่นๆ โดยตรง
Hyoid bone (กระดูกโคนลิ้น)
Hyoid bone
Vertebral column (ลำากระดูกสันหลัง)
การแบ่งส่วนของกระดูกสันหลัง (26 ชิ้น)
 ส่วนคอ มี 7 ชิ้น
 ส่วนอก มี 12 ชิ้น
 ส่วนเอว มี 5 ชิ้น
 ส่วนกระเบนเหน็บ มี 1 ชิ้น
 ส่วนก้นกบ มี 1ชิ้น
Intervertebral
foramen
ลักษณะโดยทั่วไปของกระดูกสันหลัง (Typical vertebra)
1. Body เป็นแผ่นกลม หนา ผิวขรุขระ อยู่ทางด้านหน้า
2. Vertebral (neural) arch เป็นกระดูกโค้งเป็นวงทางด้านหลังของ body โอบ
vertebral foramen ซึ่งเป็นที่อยู่ของไขสันหลัง ประกอบด้วยส่วน
- Pedicles เป็นแท่งกลมยื่นจาก body 2 ด้าน
- Laminae เป็นแผ่นแบน 2 แผ่น แต่ละ
แผ่นต่อกับ pedicle ด้านเดียวกัน และด้าน
หลังต่อกันเอง
3. Processes เป็นส่วนที่ยื่นออกจาก
vertebral arch
- Transverse process
ยื่นจากจุดต่อกันระหว่าง pedicle
กับ lamina ทางด้านข้างทั้ง 2 ข้าง
- Spinous process
ยื่นจากจุดต่อกันระหว่าง lamina 2 ข้าง ทางด้านหลัง
- Articular process มี 2 คู่ อยู่ทางด้านบนและ
ด้านล่างของ pedicle ด้านละ 1 คู่ ที่ผิวเป็นแอ่งตื้นๆเพื่อ
ต่อกับกระดูกสันหลังที่อยู่ใกล้เคียง ทำาเกิดรูทางด้านข้าง
เรียกว่า intervertebral foramen ให้เส้นประสาทไขสันหลังผ่านออกมา
Cervical vertebra, C spine (กระดูกสันหลังส่วนคอ )
» มี body ขนาดเล็ก
» Transverse process มีรูเรียกว่า
transverse foramen มี
vertebral artery ผ่านไปเลี้ยง
สมอง
» ส่วนปลายของ spinous process
จาก C2– C6 จะแยกเป็น 2 แฉก
» C1 ชื่อ atlas รูปร่างเหมือนวงแหวน
เพราะ ไม่มี body และ spinous
process มีเพียง anterior และ
posterior arch ล้อมรอบ vertebral
foramen
» C2 ชื่อ axis มีปุ่มยื่นขึ้นไปจาก body
เรียกว่า dens
costal facet
Demifacet for
head of rib
มีขนาดกลางแต่ใหญ่กว่ากระดูกสันหลังส่วนคอ
» Spinous process ยาว แหลม ชี้ลงด้านล่าง
» Transverse process มีแอ่งผิวเรียบ ตื้น
(costal facet) เป็นรอยต่อกับกระดูกซี่โครง
» Body มี demifacet เป็นรอยต่อกับ
กระดูกซี่โครง
Thoracic vertebra, T spine (กระดูกสันหลังส่วนอก)
lumbar vertebra, L spine (กระดูกสันหลังส่วนเอว )
เป็นกระดูกสันหลังที่ใหญ่ และแข็งแรงที่สุด มี
» pedicle และ lamina สั้นและหนา
» spinous process แบนเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม
» vertebral foramen เป็นรูปสามเหลี่ยม
Sacrum: รูปสามเหลี่ยม มี 1 ชิ้น เกิดจากการเชื่อมต่อกันของกระดูก sacral
vertebra 5 ชิ้น อยู่ระหว่างกระดูกสะโพกทั้ง 2 ข้าง ประกอบเป็นผนังด้านหลังของอุ้ง
เชิงกราน body ของ S1 ยื่นมาทางด้านหน้าเรียกว่า sacral promontory
และแผ่เป็นปีกออกทางด้านข้างทั้งสองข้าง เรียกว่า ala of sacrum
Sacrum (กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ) และ Coccyx (ก้นกบ)
Coccyx: รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก อยู่ส่วนล่างสุดของแนวกระดูกสันหลัง ต่อจาก
Sacrum เกิดจากการเชื่อมต่อกันของกระดูก coccyges 4 ชิ้น
ความผิดปกติของโค้งสันหลัง -Abnormal curve of vertebral column
กระดูกที่ประกอบเป็นโครงร่างของทรวงอกได้แก่
» กระดูกหน้าอก (sternum)
» กระดูกซี่โครง (rib)
» กระดูกสันหลังส่วนอก
Thorax (ทรวงอก)
กระดูกหน้าอก (Sternum)
เป็นกระดูกแบน อยู่ด้านหน้าใน
แนวกลางหน้าอก ประกอบด้วย
» Manubrium: ส่วนบนสุด
ขอบบนเว้าเรียกว่า
suprasternal (jugular) notch
» Body: ส่วนกลางมีขนาด
ใหญ่ที่สุด
» Xiphoid process: ส่วนปลายล่าง เป็นกระดูกอ่อน ในวัยสูงอายุจะเป็นกระดูก
ให้เป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง
Rib (กระดูกซี่โครง )
มีจำานวน 12 คู่ ประกอบเป็นส่วนใหญ่ของผนังอก แบ่งได้เป็น 2 ชนิด ตาม
ลักษณะปลายหน้าที่สัมพันธ์กับกระดูก sternum คือ
1. True ribs/Vertebrosternal ribs:
ปลายหน้าส่วน costal cartilage
ไปต่อกับ Sternum โดยตรง
ได้แก่ ribs คู่ที่ 1-7
2. False ribs มี 2 กลุ่ม
» Vertebro-chondral
ribs:
ปลายหน้าส่วน costal
cartilage ไปต่อกับ
costal cartilage ของ
rib บนเพื่อไปต่อทาง
อ้อมกับ costal cartilage
» Vertebral ribs: ปลายด้านหน้าลอย ไม่ต่อกับ Sternum ได้แก่ Ribs คู่ที่ 11-12
ส่วนของกระดูกซี่โครง (Rib)
» ส่วนปลายสุดทางด้านหลังเป็นปุ่มกลม เรียกว่า head เป็นส่วนที่ประกอบเป็นข้อ
ต่อกับ body ของ thoracic vertebra
» ส่วนคอดเรียกว่า neck
» ส่วนที่เหลือทั้งหมดเรียกว่า body
» บริเวณที่ neck เชื่อมต่อกับ body มีปุ่มนูนเรียกว่า tubercle ซึ่งจะไปประกอบ
เป็นข้อต่อกับ transverse process ของ thoracic vertebra
skeletal system

Más contenido relacionado

La actualidad más candente

รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1
รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1
รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1ประกายทิพย์ แซ่กี่
 
การทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาทการทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาทThitaree Samphao
 
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนการรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนsukanya petin
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อsukanya petin
 
กล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้า
กล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้ากล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้า
กล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้าSarawut Fnp
 
โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560
โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560
โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560Aphisit Aunbusdumberdor
 
บทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
บทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกบทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
บทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกTa Lattapol
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ Thitaree Samphao
 
การรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์Blank
การรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์Blankการรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์Blank
การรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์BlankThanyamon Chat.
 
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจtechno UCH
 
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท Thitaree Samphao
 
ระบบประสาทPart1blank
ระบบประสาทPart1blankระบบประสาทPart1blank
ระบบประสาทPart1blankThanyamon Chat.
 
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการการทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการWan Ngamwongwan
 
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)Aphisit Aunbusdumberdor
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองsukanya petin
 
แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุ
แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุ
แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุDashodragon KaoKaen
 

La actualidad más candente (20)

ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)
 
รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1
รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1
รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์ 1
 
การทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาทการทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาท
 
ระบบประสาท (Nervous System)
ระบบประสาท (Nervous System)ระบบประสาท (Nervous System)
ระบบประสาท (Nervous System)
 
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนการรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ
 
กล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้า
กล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้ากล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้า
กล้ามเนื้อแสดงความรู้สึกของหน้า
 
โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560
โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560
โครงสร้างและหน้าที่ระบบทางเดินอาหาร 2560
 
บทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
บทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกบทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
บทที่ 3 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ
 
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
 
การรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์Blank
การรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์Blankการรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์Blank
การรับรู้และตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์Blank
 
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา ของระบบทางเดินหายใจ
 
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
 
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
 
ระบบประสาทPart1blank
ระบบประสาทPart1blankระบบประสาทPart1blank
ระบบประสาทPart1blank
 
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการการทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
 
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก (Orthopedics nursing problem)
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 
แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุ
แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุ
แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับผู้สูงอายุ
 

Destacado

กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาAngkana Chongjarearn
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาประกายทิพย์ แซ่กี่
 
แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)
แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)
แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)peter dontoom
 
ชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อSarawut Fnp
 
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนWan Ngamwongwan
 
ข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไป
ข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไปข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไป
ข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไปPijak Insawang
 
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2Wichai Likitponrak
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5Su Surut
 
Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...
Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...
Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...Namchai Chewawiwat
 
การประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ
การประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อการประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ
การประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อUtai Sukviwatsirikul
 
Anatomy of Muscular System
Anatomy of Muscular SystemAnatomy of Muscular System
Anatomy of Muscular SystemSarawut Fnp
 
หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"
หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"
หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"Thira Woratanarat
 
Presentation on fracture shaft of femur
Presentation on fracture shaft of femurPresentation on fracture shaft of femur
Presentation on fracture shaft of femurSajal Twanabasu
 

Destacado (20)

แนวข้อสอบ 100 ข้อ
แนวข้อสอบ  100  ข้อแนวข้อสอบ  100  ข้อ
แนวข้อสอบ 100 ข้อ
 
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
 
แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)
แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)
แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป (เฉลย)
 
1. facial muscles
1. facial muscles1. facial muscles
1. facial muscles
 
Exercise physiology
Exercise physiologyExercise physiology
Exercise physiology
 
ชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อชนิดของกล้ามเนื้อ
ชนิดของกล้ามเนื้อ
 
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
 
Fracture Clavicle
Fracture ClavicleFracture Clavicle
Fracture Clavicle
 
ข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไป
ข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไปข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไป
ข้อสอบกระบวนวิชา Psy1001 (pc 103) จิตวิทยาทั่วไป
 
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 5
 
Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...
Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...
Nobel Physioloy or Med-2014-press release-Thai translation-complete ผู้ได้รับ...
 
การประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ
การประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อการประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ
การประเมินระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ
 
Anatomy of Muscular System
Anatomy of Muscular SystemAnatomy of Muscular System
Anatomy of Muscular System
 
หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"
หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"
หนังสือ"วิถีชีวิตกับโรคกระดูกและข้อ"
 
อินเดีย
อินเดียอินเดีย
อินเดีย
 
Muscle Skeletal (Thai)
Muscle Skeletal (Thai)Muscle Skeletal (Thai)
Muscle Skeletal (Thai)
 
Skilllab2
Skilllab2Skilllab2
Skilllab2
 
Presentation on fracture shaft of femur
Presentation on fracture shaft of femurPresentation on fracture shaft of femur
Presentation on fracture shaft of femur
 

Similar a skeletal system

การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตพัน พัน
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตComputer ITSWKJ
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemsupreechafkk
 
9789740332572
97897403325729789740332572
9789740332572CUPress
 
อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์tarcharee1980
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdomIssara Mo
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdomIssara Mo
 
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนnokbiology
 
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...kasidid20309
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตTa Lattapol
 

Similar a skeletal system (20)

การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
Animal tissue
Animal tissueAnimal tissue
Animal tissue
 
Skeleton
SkeletonSkeleton
Skeleton
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
 
Body system
Body systemBody system
Body system
 
Body
BodyBody
Body
 
9789740332572
97897403325729789740332572
9789740332572
 
vbvb
vbvbvbvb
vbvb
 
อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdom
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdom
 
Movement
MovementMovement
Movement
 
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคนโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของคน
 
B08
B08B08
B08
 
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตบทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
Animalia
AnimaliaAnimalia
Animalia
 

skeletal system

  • 1. ระบบโครงร่างของร่างกาย Skeletal system I (Axial skeleton) • Basic anatomy (ANA100) • Human body I (MDS100) Anatomy Unit, Faculty of Science Rangsit University
  • 2. วัตถุประสงค์ 1. บอกความหมายของระบบโครงร่างของร่างกาย ได้ 2. บอกแหล่งที่พบของกระดูกอ่อนทั้ง 3 ชนิดได้ 3. อธิบายโครงสร้างของกระดูกทั้งระดับจุลกายวิ ภาคและมหกายวิภาคได้ 4. อธิบายการสร้าง การเจริญเติบโตและการ ซ่อมแซมของกระดูกได้ 5. จำาแนกรูปร่างของกระดูกแต่ละชนิดได้ 6. อธิบายความหมายของคำาศัพท์ที่ใช้เรียกส่วน ต่างๆของกระดูกได้ 7. บอกตำาแหน่งและรูปร่างของกระดูกแต่ละชิ้นได้ 8. บอกชนิดของข้อต่อ รูปแบบต่างๆของการ เคลื่อนไหว และแหล่งที่พบข้อต่อแต่ละชนิดได้
  • 3. หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วย กระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ และ เอ็นยึดกระดูก ทำาหน้าที่ » เป็นโครงร่างหลักของ ร่างกาย » ทำาให้ร่างกายสามารถคง รูปร่างและเคลื่อนไหวได้ » เป็นเกราะป้องกันอวัยวะ ภายใน รวมทั้งระบบประสาท ส่วนกลางไม่ให้ได้รับ อันตรายจากภายนอก ระบบโครงร่างของร่างกาย
  • 4. กระดูกอ่อนแบ่งเป็น 3 ชนิด » Hyaline cartilage พบที่ »Trachea » Costal cartilage » Cartilage of nose » Elastic cartilage พบที่ » Pinna » Epiglottis » Fibrocartilage พบที่ » Intervertebral discs » Pubic symphysis Chondrocyte In lacunae Collagen fiber Chondrocyte (cartilage cell) In lacunae Matrix Chondrocyte in lacunae Elastic fiber
  • 5. กระดูก (Bone) 1. Spongy (Cancellous) bone: กระดูกเนื้อโปร่ง 2. Compact bone: กระดูกเนื้อแน่น แบ่งตามความแตกต่างของเนื้อกระดูกเป็น 2 ชนิด Spongy bone Compact bone
  • 6. Harversian system (osteon) lamellae Haversian canal Volkmann ’s canal Compact bone » Harversian canal แต่ละอันเชื่อมติดต่อ กันทางท่อ Volkmann ’s canal ที่ต่อเป็นแนว ตั้งฉากกับแกนยาว ของกระดูก มีเนื้อแน่น แข็ง สีขาวคล้ายงาช้าง ประกอบด้วย Harversian system (osteon) หลายชุดเรียงชิดกัน » Haversian system 1 ชุดประกอบด้วย lamellae เรียงเป็น วงกลมซ้อนกันล้อมท่อยาว ที่อยู่ตรงกลางคือ Haversian canal ที่นำา หลอดเลือด หลอดนำ้าเหลือง และเส้นประสาทมาเลี้ยง เซลล์กระดูก
  • 7. Spongy (Cancellous) bone มีลักษณะเนื้อกระดูกโปร่ง คล้ายฟองนำ้า ประกอบด้วยแผ่นกระดูกชิ้นเล็กๆ เรียกว่า trabeculae เรียงสานกันไปมาเป็นร่างแห ช่องระหว่าง trabeculae มีไขกระดูก แดง (red bone marrow) บรรจุอยู่ ทำาหน้าที่ สร้างเม็ดเลือด
  • 8. กระดูกประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด » Osteoclast: พบบริเวณผิว กระดูก ทำาหน้าที่ย่อย ละลายเนื้อกระดูก ทำาให้ เนื้อกระดูกบางลง และควบคุม ปริมาณแคลเซียมในเลือด เช่นเดียวกับ osteocyte » Osteocyte: อยู่ในช่อง lacunae ที่ติดต่อกันผ่านทางท่อ ขนาดเล็กเรียกว่า canaliculi ทำาหน้าที่บำารุงรักษาและ ซ่อมแซมเนื้อกระดูก และช่วย ควบคุมปริมาณแคลเซียมใน เลือดภายใต้อิทธิพลของ PTH (Parathyroid hormone) » Osteoprogenitor cell: เซลล์ต้นกำาเนิดรูปร่างคล้าย fibroblast มักพบที่ผิวใกล้เยื่อหุ้มกระดูก(Periosteum) เยื่อบุโพรงกระดูก (endosteum) เยื่อบุภายใน Harversian และ Volkmann’s canals (Endosteum) เมื่อถูกกระตุ้นจะเปลี่ยนเป็นเซลล์ Osteoblast» Osteoblast: พบที่ผิวของกระดูกที่กำาลังสร้างเนื้อกระดูก    canaliculi Multinucleated giant cell
  • 10.  Intramembranous (Periosteal) ossification พบการเกิดแบบนี้ที่กระดูกแบน (flat bone) และที่ผิวของกระดูกยาว (long bone) การเกิดและการเจริญเติบโตของกระดูกมี 2 วิธี 2. ต่อมามีการนำาแคลเซี่ยมจาก เลือดมาตกผลึกทำาให้ matrix แข็ง (calcification) ล้อมเซลล์ที่เปลี่ยน รูปร่างเป็น osteocyte อยู่ใน ช่องlacunae และosteoclast จะ ตกแต่งกระดูกให้มี Spongy bone ด้านในและ Compact bone ด้าน นอก 1. เริ่มจาก mesenchymal cell มา เรียงตัวชิดกันเป็นแผ่น (membrane) และเซลล์ทั้งแผ่นเปลี่ยนรูปร่างเป็น osteoblast สร้าง bone matrix กระดูกแบน (flat bone)
  • 11.  Intracartilagenous (Endochondral) ossification เป็นการสร้างกระดูกโดยการแทนที่ กระดูกอ่อนแม่พิมพ์ (cartilage model) พบการ เจริญแบบนี้ที่กระดูกยาว (long bone) โดยมี » จุดเริ่มต้น (Primary ossification) ที่ตอนกลางกระดูก เจริญไปตามยาวทั้ง 2 ด้าน เรียกกระดูกส่วนนี้ว่า Diaphysis » จุดต่อไป (Secondary ossification) ที่ปลายกระดูกทั้ง 2 ด้าน เจริญแผ่เป็นรัศมีไป บรรจบกับจุดเริ่มต้นที่ปลายกระดูกทั้งสองด้าน เรียกกระดูกส่วนนี้ว่า Epiphysis ที่ปลายกระดูก: 1. กระดูกเด็ก ยังแทนที่ กระดูกอ่อนไม่หมด ทำาให้ เด็กยังสูงได้อีก และ กระดูกอ่อนที่เหลือเรียก ว่า epiphyseal plate 2. กระดูกผู้ใหญ่ การเจริญ เป็นกระดูกหมดแล้ว พบ เพียงรอยต่อ เรียกว่า epiphyseal line
  • 12. Proximal epiphysis Metaphysis Diaphysis Metaphysis Distal epiphysis Endosteum Compact bone Periosteum Medullary cavity Spongy bone Epiphyseal line ลักษณะทางมหกายวิภาคของกระดูกยาว (long bone) Metaphysis เป็นส่วนของ epiphyseal plate ที่เจริญเป็นก ระดูกในวัยเด็ก ประมาณอายุ 18-25 ปี จะกลายเป็นกระดูก ทั้งหมด Bone marrow สร้างเม็ดเลือด aspiration or needle biopsy
  • 14. การแบ่งกระดูกตามรูปร่าง (Shapes) 1. กระดูกยาว (Long bone) » กระดูกต้นแขน » กระดูกต้นขา 3. กระดูกแบน (Flat bone) » กระดูกหน้าอก » กระดูกกะโหลก 2. กระดูกสั้น (Short bone) » กระดูกข้อมือ » กระดูกข้อเท้า » กระดูกสะบ้า 4. กระดูกรูป แปลก (Irregular bone) » กระดูกสันหลัง
  • 15. คำาศัพท์เกี่ยวกับรอยที่กระดูก รอยนูนที่ยื่นออกจากตัวกระดูก » Condyle: ปุ่มเรียบ ยื่นไปต่อกับ กระดูกอื่น เช่น ที่ปลายกระดูก Femur ต่อกับส่วนบนของกระดูก Tibia » Tubercle, tuberosity, trochanter: ปุ่มยื่นเป็นที่ เกาะของเอ็นหรือกล้ามเนื้อ » Head: ปุ่มกลม โต มีคอคอด (neck) เช่น ส่วนปลายบน ของกระดูก femur, Humerus » Crest (Ridge): ส่วนยื่นที่เป็นสัน เช่น ที่กระดูก Ilium » Process ส่วนที่ยื่นออกมาชัดเจน เช่น Spinous process ของกระดูกสันหลัง » Spine ส่วนยื่นที่เป็นสันแหลม เช่น spine ของกระดูก Ilium Iliac crest Anterior superior iliac spine
  • 16. แอ่งหรือรูของกระดูก » Foramen: รูของกระดูกให้ เป็นทางผ่านของโครงสร้าง ต่างๆ เช่น foramen magnum » Fossa: แอ่งของกระดูก เช่น cranial fossa » Groove: ร่องยาวที่ กระดูก เช่น intertubercular groove » Sinus: โพรงอากาศใน กระดูก ใช้ชื่อตามกระดูกที่ เช่น frontal sinus » Meatus: ท่อในกระดูก เช่น external auditory meatus (รูหูชั้นนอก) คำาศัพท์เกี่ยวกับรอยที่กระดูก Foramen magnum Sinuses Meatus intertubercular groove Humerus Skull Anterior cranial fossa Middle cranial fossa Posterior cranial fossa
  • 17. Axial skeleton-กระดูกแกนกลางของลำาตัว มี 80 ชิ้น 1. กะโหลก-Skull มี 28 ชิ้น 1.1 Cranial bones (8 ชิ้น) 1.2 Facial bones (14 ชิ้น) 1.3 Ear ossicles (6 ชิ้น) 2. กระดูกโคนลิ้น-Hyoid bone มี 1 ชิ้น 3. ลำากระดูกสันหลัง-Vertebral column มี vertebrae 26 ชิ้น (เด็กมี 33 ชิ้น) 3.1 Cervical vertebrae มี 7 ชิ้น (C 1-7) 3.2 Thoracic vertebrae มี 12 ชิ้น (T1-12 ) 3.3 Lumbar vertebrae มี 5 ชิ้น (L1-5) 3.4 Sacral vertebra –S มี 1 ชิ้น (เด็กมี 5 ชิ้น) 3.5 Coccyx vertebra-Co มี 1-2 ชิ้น (เด็กมี 4 ชิ้น) 4. กระดูกโครงอก-Thoracic cage มี 25 ชิ้น 4.1 กระดูกซี่โครง-Rib (24 ชิ้น) 4.2 กระดูกหน้าอก-Sternum (1 ชิ้น)
  • 18. กะโหลกศีรษะ (Skull) แบ่งเป็น 3 ส่วน 1. Cranial bones: ประกอบเป็นโพรงที่อยู่ของสมอง มี 8 ชิ้น 2. Facial bones: กระดูกหน้า มี 14 ชิ้น 3. Ear ossicles: เป็นกระดูกในหูชั้นกลางมี 6 ชิ้น
  • 19. Frontal bone Frontal SinusFrontal bone Frontal bone (กระดูกหน้าผาก) เป็นส่วนของกระดูกกะโหลกศีรษะที่ประกอบเป็น » หน้าผาก » หลังคาของเบ้าตา (roof of orbit) » ส่วนของโพรงกะโหลกศีรษะทางด้านหน้า » ที่เหนือเบ้าตามีโพรงอากาศ 2 ข้าง เรียกว่า frontal sinuses
  • 20. มี 2 ชิ้น ประกอบเป็น » ผนังด้านข้างและด้านบนของโพรงกะโหลกศีรษะตอนกลาง » 2 ชิ้น ต่อกันในแนวกลางลำาตัว (Midline) ด้วย sagittal suture » ด้านหน้า ต่อกับ frontal bone ด้วย coronal suture Parietal bones Frontal bone Frontal SinusParietal bones Parietal bones
  • 21. Temporal bones เป็นผนังและพื้นด้านข้างของโพรงกะโหลกศีรษะ อยู่ตำ่ากว่า parietal bone แบ่งเป็น 4 ส่วน 1. Squamous portion เป็นแผ่นแผ่กว้างคล้ายพัด อยู่เหนือรูหูชั้นนอก ทางด้าน หน้ามี zygomatic process ยื่นไปต่อกับ zygomatic bone 2. Tympanic portion เป็น ผนังของหูส่วนนอก ด้านล่างมี กระดูกยื่นยาว เพรียว และแหลม เรียกว่า styloid process 3. Mastoid portion เป็นส่วน ที่อยู่ด้านหลัง และอยู่หลังรูหูชั้น นอก มีปุ่มนูนมน สั้น ยื่นลงด้าน ล่าง เรียกว่า mastoid process Squamous portion Mastoid process Zygomatic process Styloid process Frontal bone Parietal bone Mastoid portion Tympanic portion
  • 22. Temporal bones FRONTAL TEMPORAL OCCIPITAL SPHENOID 4. Petrous portion เป็นส่วนประกอบของโพรง กะโหลกศีรษะส่วนล่าง มีรูปทรง 3 เหลี่ยม (Prism) แทรกอยู่ระหว่าง sphenoid bone ทางด้านหน้า กับ occipital bone ทางด้านหลัง ภายในมี » หูชั้นกลาง:มีกระดูกหูข้างละ 3 ชิ้น คือ malleus, incus และ stapes » หูชั้นใน: มีอวัยวะเกี่ยวกับการ ได้ยิน และการทรงตัว
  • 23. Occipital bone (กระดูกท้ายทอย) อยู่ส่วนหลังของกะโหลก ประกอบเป็นผนังด้านล่างส่วนหลังของโพรงกะโหลก ศีรษะ ด้านล่างมีรูขนาดใหญ่เรียกว่า foramen magmum เป็นทางผ่านของสมอง ส่วน medulla oblongata ไปเชื่อมต่อกับไขสันหลัง Occipital bone ต่อกับ parietal bone ทั้ง 2 ข้าง ด้วย lambdoid suture Lambdoid suture OCCIPITAL BONE OCCIPITAL BONE FORAMEN MAGNUM OCCIPITAL BONE
  • 24. Sphenoid bone Pterygoid process Sphenoid sinus Sphenoid bone รูปร่างคล้ายผีเสื้อกางปีก ประกอบเป็นผนังด้า ล่างของโพรงกะโหลก และผนังเบ้าตา แบ่งเป็น 3 ส่วน 1. Body คือส่วนกลาง ด้านล่างเป็นผนังของ โพรงจมูก ด้านบนเป็นแอ่ง เรียกว่า sella turcica เป็นที่อยู่ของต่อมใต้สมอง (pituitary gland) มี sphenoid sinus 2. Greater wing 3. Lesser wing Greater wing Lesser wing Sella turcica
  • 25. ภาพผนังโพรง จมูกด้านใน ETH Ethmoid bone ภาพผนังโพรง จมูกด้านนอก Crista galli Cribriform plate ETH ส่วนประกอบของกระดูก » ส่วนบนยื่นขึ้นไปในแนวกลาง ด้านหน้า ของโพรงกะโหลกมี - ปุ่มกระดูก Crista galli อยู่ตรงกลาง - แผ่นกระดูกรูพรุนชื่อ Cribriform plate ขนาบ 2 ข้าง เป็นทางผ่านของเส้นประสาทสมองคู่ ที่ 1 (CNI) ไปรับ กลิ่นที่ผนังด้านบนของโพรงจมูก » ส่วนล่าง เป็นผนังของโพรง จมูกด้านนอก (concha) และด้านใน และบางส่วนของเบ้าตา
  • 26. Fontanel (fontanelle) ขม่อม (กระหม่อม) 1. Anterior fontanel คือรอยต่อระหว่าง กระดูก frontal กับ parietal เป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนมเปียกปูน ปิดอายุ ~ 18 เดือน 2. Posterior fontanel คือรอยต่อ ระหว่างกระดูก parietal กับ occipital ปิด อายุ ~ 2-3 เดือน ทารกแรกเกิด กะโหลกยังเจริญเป็นกระดูกไม่ หมดเหลือเป็น membrane เรียกว่า Fontanel
  • 27. Facial bones 1. Nasal bone 2 ชิ้น อยู่ที่ตรง กลางส่วนดั้งจมูก บรรจบกันทำา มุมป้าน หรือมุมแหลม 2. Maxillae- กระดูกขากรรไกรบน ต่อกันในแนวกลาง ประกอบเป็น - ส่วนของเบ้าตา - เพดานของช่องปาก Maxilla - มีโพรงอากาศขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายปิรามิด เรียกว่า maxillary sinus Maxillary sinus Maxilla Nasal bone
  • 28. Z Z  Frontal bone Zygomatic bones/ cheek bones (กระดูกโหนกแก้ม) มี 2 ชิ้น ตำาแหน่งที่โหนกแก้มทางด้านซ้ายและ ด้านขวา มีส่วนยื่นออกไป 1. ด้านในเป็นแผ่นประกอบเป็นพื้นของเบ้าตา 2. เป็นแง่ทางด้านข้างเรียกว่า temporal process ไปต่อกับ zygomatic process ของ temporal bone รวมเป็นแนวโค้ง เรียกว่า zygomatic arch Zygomatic arch 
  • 29. Mandible (กระดูกขากรรไกรล่าง) เป็นกระดูกหน้าชิ้นใหญ่และแข็งแรงที่สุด ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ » Ramus เป็นแผ่นแบน 2 ชิ้น ยื่นขึ้นข้างบน » Body อยู่ตรงกลาง โค้งเป็นรูปเกือกม้า เชื่อมต่อ ramus 2 ด้าน มีฟันล่างอยู่ » Angle เป็นส่วนที่ ramus ต่อกับ body เป็นมุม Frontal bone Maxilla Mandible Ramus Body
  • 30. Lacrimal bones เป็นกระดูกขนาดเล็ก แผ่น บาง ประกอบเป็นส่วนหนึ่ง ของผนังด้านในของเบ้าตา » บริเวณที่กระดูกนี้เป็นแอ่ง เรียกว่า lacrimal fossa เป็นที่อยู่ของถุงนำ้าตา (lacrimal sac) » และมีท่อนำานำ้าตาต่อลงไปสู่โพรงจมูก (nasolacrimal duct)
  • 31. ภาพผนังโพรง จมูกด้านนอก Palatine bones มีรูปร่างเหมือนอักษร L ส่วน ของกระดูกคือ » ในแนวนอนจะประกอบเป็นส่วนหลังของเพดาน แข็ง (hard palate) » ในแนวตั้งประกอบเป็นผนังด้านข้างของ โพรงจมูก Palatine Palatine
  • 32. ภาพผนังโพรงจมูกด้านนอก Inferior nasal concha เป็นแผ่นกระดูกที่ม้วนยื่นออกมาจากผนังด้านข้างของโพรงจมูก (Nasal concha ) ในตำาแหน่งที่ตำ่าสุด Nasal concha มีประโยชน์ในการเพิ่มพื้นที่ให้อากาศที่หายใจเข้าไปหมุนวน ภายในโพรงจมูก เพื่อกำาจัดฝุ่นละอองและเชื้อโรคก่อนเข้าสู่ปอด Inferior nasal concha
  • 33. เป็นกระดูกแผ่นแบน วางตั้งฉากกับเพดานปาก (Palate) ประกอบเป็นส่วนหลังทาง ด้านล่างของผนังกั้นโพรงจมูก (nasal septum) Vomer bone Vomer ภาพผนังกั้นโพรงจมูก Ethmoid Vomer กระดูกอ่อน Palate
  • 34. อยู่ใต้กระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible) ทางด้านหน้าลำาคอ รูปร่างคล้ายเกือกม้า (Horseshoe-shaped) เป็นกระดูกชิ้นเดียวที่ไม่ต่อกับกระดูกชิ้นอื่นๆ โดยตรง Hyoid bone (กระดูกโคนลิ้น) Hyoid bone
  • 35. Vertebral column (ลำากระดูกสันหลัง) การแบ่งส่วนของกระดูกสันหลัง (26 ชิ้น)  ส่วนคอ มี 7 ชิ้น  ส่วนอก มี 12 ชิ้น  ส่วนเอว มี 5 ชิ้น  ส่วนกระเบนเหน็บ มี 1 ชิ้น  ส่วนก้นกบ มี 1ชิ้น Intervertebral foramen
  • 36. ลักษณะโดยทั่วไปของกระดูกสันหลัง (Typical vertebra) 1. Body เป็นแผ่นกลม หนา ผิวขรุขระ อยู่ทางด้านหน้า 2. Vertebral (neural) arch เป็นกระดูกโค้งเป็นวงทางด้านหลังของ body โอบ vertebral foramen ซึ่งเป็นที่อยู่ของไขสันหลัง ประกอบด้วยส่วน - Pedicles เป็นแท่งกลมยื่นจาก body 2 ด้าน - Laminae เป็นแผ่นแบน 2 แผ่น แต่ละ แผ่นต่อกับ pedicle ด้านเดียวกัน และด้าน หลังต่อกันเอง 3. Processes เป็นส่วนที่ยื่นออกจาก vertebral arch - Transverse process ยื่นจากจุดต่อกันระหว่าง pedicle กับ lamina ทางด้านข้างทั้ง 2 ข้าง - Spinous process ยื่นจากจุดต่อกันระหว่าง lamina 2 ข้าง ทางด้านหลัง - Articular process มี 2 คู่ อยู่ทางด้านบนและ ด้านล่างของ pedicle ด้านละ 1 คู่ ที่ผิวเป็นแอ่งตื้นๆเพื่อ ต่อกับกระดูกสันหลังที่อยู่ใกล้เคียง ทำาเกิดรูทางด้านข้าง เรียกว่า intervertebral foramen ให้เส้นประสาทไขสันหลังผ่านออกมา
  • 37. Cervical vertebra, C spine (กระดูกสันหลังส่วนคอ ) » มี body ขนาดเล็ก » Transverse process มีรูเรียกว่า transverse foramen มี vertebral artery ผ่านไปเลี้ยง สมอง » ส่วนปลายของ spinous process จาก C2– C6 จะแยกเป็น 2 แฉก » C1 ชื่อ atlas รูปร่างเหมือนวงแหวน เพราะ ไม่มี body และ spinous process มีเพียง anterior และ posterior arch ล้อมรอบ vertebral foramen » C2 ชื่อ axis มีปุ่มยื่นขึ้นไปจาก body เรียกว่า dens
  • 38. costal facet Demifacet for head of rib มีขนาดกลางแต่ใหญ่กว่ากระดูกสันหลังส่วนคอ » Spinous process ยาว แหลม ชี้ลงด้านล่าง » Transverse process มีแอ่งผิวเรียบ ตื้น (costal facet) เป็นรอยต่อกับกระดูกซี่โครง » Body มี demifacet เป็นรอยต่อกับ กระดูกซี่โครง Thoracic vertebra, T spine (กระดูกสันหลังส่วนอก)
  • 39. lumbar vertebra, L spine (กระดูกสันหลังส่วนเอว ) เป็นกระดูกสันหลังที่ใหญ่ และแข็งแรงที่สุด มี » pedicle และ lamina สั้นและหนา » spinous process แบนเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม » vertebral foramen เป็นรูปสามเหลี่ยม
  • 40. Sacrum: รูปสามเหลี่ยม มี 1 ชิ้น เกิดจากการเชื่อมต่อกันของกระดูก sacral vertebra 5 ชิ้น อยู่ระหว่างกระดูกสะโพกทั้ง 2 ข้าง ประกอบเป็นผนังด้านหลังของอุ้ง เชิงกราน body ของ S1 ยื่นมาทางด้านหน้าเรียกว่า sacral promontory และแผ่เป็นปีกออกทางด้านข้างทั้งสองข้าง เรียกว่า ala of sacrum Sacrum (กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ) และ Coccyx (ก้นกบ) Coccyx: รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก อยู่ส่วนล่างสุดของแนวกระดูกสันหลัง ต่อจาก Sacrum เกิดจากการเชื่อมต่อกันของกระดูก coccyges 4 ชิ้น
  • 42. กระดูกที่ประกอบเป็นโครงร่างของทรวงอกได้แก่ » กระดูกหน้าอก (sternum) » กระดูกซี่โครง (rib) » กระดูกสันหลังส่วนอก Thorax (ทรวงอก) กระดูกหน้าอก (Sternum) เป็นกระดูกแบน อยู่ด้านหน้าใน แนวกลางหน้าอก ประกอบด้วย » Manubrium: ส่วนบนสุด ขอบบนเว้าเรียกว่า suprasternal (jugular) notch » Body: ส่วนกลางมีขนาด ใหญ่ที่สุด » Xiphoid process: ส่วนปลายล่าง เป็นกระดูกอ่อน ในวัยสูงอายุจะเป็นกระดูก ให้เป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง
  • 43. Rib (กระดูกซี่โครง ) มีจำานวน 12 คู่ ประกอบเป็นส่วนใหญ่ของผนังอก แบ่งได้เป็น 2 ชนิด ตาม ลักษณะปลายหน้าที่สัมพันธ์กับกระดูก sternum คือ 1. True ribs/Vertebrosternal ribs: ปลายหน้าส่วน costal cartilage ไปต่อกับ Sternum โดยตรง ได้แก่ ribs คู่ที่ 1-7 2. False ribs มี 2 กลุ่ม » Vertebro-chondral ribs: ปลายหน้าส่วน costal cartilage ไปต่อกับ costal cartilage ของ rib บนเพื่อไปต่อทาง อ้อมกับ costal cartilage » Vertebral ribs: ปลายด้านหน้าลอย ไม่ต่อกับ Sternum ได้แก่ Ribs คู่ที่ 11-12
  • 44. ส่วนของกระดูกซี่โครง (Rib) » ส่วนปลายสุดทางด้านหลังเป็นปุ่มกลม เรียกว่า head เป็นส่วนที่ประกอบเป็นข้อ ต่อกับ body ของ thoracic vertebra » ส่วนคอดเรียกว่า neck » ส่วนที่เหลือทั้งหมดเรียกว่า body » บริเวณที่ neck เชื่อมต่อกับ body มีปุ่มนูนเรียกว่า tubercle ซึ่งจะไปประกอบ เป็นข้อต่อกับ transverse process ของ thoracic vertebra